วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

พบ iPhone “กินไฟ” มากกว่าตู้เย็น!!

พบ iPhone “กินไฟ” มากกว่าตู้เย็น!!
 
       บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนเทคโนโลยีคิดใหม่ทำใหม่ นำสมาร์ทโฟนฮิตอย่างไอโฟน (iPhone) มาวิเคราะห์เพื่อวัดปริมาณการใช้พลังงานในการชาร์จไฟแต่ละครั้ง ปรากฏว่าความจริงน่าทึ่งจากการสำรวจนี้ คือไอโฟนมีค่าการใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยสูงกว่าตู้เย็นขนาดกลาง 1 เครื่อง ถือเป็นแนวโน้มน่าเป็นห่วงเพราะภาพรวมการใช้พลังงานของสมาร์ทโฟนยังไม่มี วี่แววลดลงแม้แต่น้อย มีแต่ขาขึ้นซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มความจุแบตเตอรี่ให้สมาร์ทโฟนทำงานได้ยาว นานขึ้น และการใช้งานสมาร์ทโฟนแบบ “ตลอดเวลา” ชนิดไม่มีการปิดเครื่อง
       บริษัทผู้ดำเนินการศึกษาจนพบว่าไอโฟนเผาผลาญพลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยมากกว่าตู้ เย็นขนาดกลางหรือ midsize refrigerator คือบริษัทดิจิตอลเพาเวอร์กรุ๊ป (Digital Power Group) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียง โดยซีอีโอ “มาร์ก มิลส์ (Mark Mills)” ระบุว่าตู้เย็นขนาดกลางที่ได้มาตรฐาน ประหยัดไฟ Energy Star จากสำนัก Environmental Protection Agency จะใช้พลังงานราว 322 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kW-h) ต่อปี ขณะที่ไอโฟนใช้พลังงานประมาณ 361 กิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี เมื่อใช้งานอินเทอร์เน็ตไร้สายจนต้องชาร์จไฟต่อเนื่อง      
       kW-h หรือกิโลวัตต์-ชั่วโมงนั้นเป็นหน่วยวัดความสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า โดยสัญลักษณ์ 1 kW-hr จะหมายถึงกำลังไฟฟ้า 1 กิโลวัตต์ที่ใช้ในเวลา 1 ชั่วโมง และหากต้องการกล่าวถึงเตารีดไฟฟ้าขนาด 2 กิโลวัตต์ที่ใช้ในเวลา 3 ชั่วโมง จะสามารถเขียนได้ว่าเตารีดนี้สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า 6 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (ข้อมูลจากพจนานุกรมศัพท์ สสวท.)     
       ไอโฟนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความกังวลที่ดิจิตอลเพาเวอร์กรุ๊ประบุในรายงานชื่อเต็มว่า “The Cloud Begins With Coal : Big Data, Big Networks, Big Infrastructure, and Big Power” รายงานฉบับนี้ต้องการสะท้อนให้โลกรู้ว่าระบบนิเวศทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรม ไอซีทีหรือเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารนั้นกำลังเป็นต้นตอที่ทำให้การใช้ พลังงานไฟฟ้าของโลกสูงขึ้น โดยไม่เพียงสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ไอที แต่ครอบคลุมทั้งระบบอีโคซิสเต็ม ซึ่งประกอบด้วยฟาร์มเซิร์ฟเวอร์ซึ่งมีขนาดเทียบเท่ากับสนามฟุตบอล 7 สนามรวมกัน     
       หากนำข้อมูลปริมาณการใช้พลังงานของอุตสาหกรรมต่างๆ บนโลกนี้มาเขียนเป็นแผนภูมิวงกลม จะพบว่าอุตสาหกรรมไอซีทีกำลังมีชิ้นพายที่ใหญ่ขึ้นต่อเนื่อง จุดนี้ซีอีโอมิลส์ระบุว่าปัจจุบันอุตสาหกรรมไอซีทีใช้พลังงานราว 10% ด้วยสถิติ 1,500 เทราวัตต์ชั่วโมง (1 เทราวัตต์ชั่วโมงหมายถึง 1 ล้านล้านวัตต์ชั่วโมง หรือ 10 ยกกำลัง 12 ถือเป็นหน่วยวัดปริมาณไฟฟ้าที่ใช้กันในระดับโลก)    
       ตัวเลขการใช้พลังงานระดับเทราวัตต์ชั่วโมงนี้ถือว่ามหาศาล เนื่องจากเพียง 1,000 วัตต์ชั่วโมงก็ถือเป็นพลังงานที่ทำให้เราสามารถชมภาพยนตร์ดีวีดี (DVD) ได้มากถึง 29 เรื่อง หรือการทำขนมปังปิ้งมากกว่า 100 แผ่น อย่างไรก็ตาม 1,000 วัตต์ชั่วโมงหรือ 1 กิโลวัตต์ชั่วโมงนี้เพียงพอต่อการใช้งานโทรศัพท์ไร้สายเพียง 15 วันเท่านั้น หรือการเล่นวิดีโอเกมต่อเนื่องเพียง 5 ชั่วโมง     
       รายงานเชื่อว่า ระบบอีโคซิสเต็มในอุตสาหกรรมไอซีทีจะใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ส่วนหนึ่งไม่ใช่เพียงเพราะการใช้หลอดไฟส่องสว่างหรือเครื่องปรับอากาศใน ศูนย์ข้อมูลไอทีเท่านั้น แต่เป็นเพราะระบบต่างๆ ในอุตสาหกรรมไอซีทีนั้นไม่สามารถหยุดพักการทำงานได้ เช่นเดียวกับที่ชาวไอทีเริ่มไม่ปิดเครื่องสมาร์ทโฟนแม้ในเวลากลางคืน
       แถมเมื่อเทคโนโลยีเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไร้สายอย่าง 3G และ Wi-Fi มีอิทธิพลมากขึ้น ปริมาณการใช้พลังงานก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เช่นเดียวกับระบบคลาวด์คอมพิวติ้งที่จำเป็นต้องขยายใหญ่ขึ้น โลกก็จะสูญเสียพลังงานไปมากขึ้นเป็นทวีคูณ    
       จุดนี้ซีอีโอมิลส์ตั้งข้อสังเกตว่า ระบบสตรีมมิ่งภาพยนตร์ออนไลน์ที่กำลังมีอิทธิพลเหนือสื่อความบันเทิงใดๆ ในขณะนี้ เป็นระบบที่เผาผลาญพลังงานมากกว่าการจัดจำหน่ายภาพยนตร์เรื่องเดียวกันในรูป แบบแผ่นดีวีดีอย่างก้าวกระโดด     
       บทสรุปที่นักวิเคราะห์เชื่อว่าจะเป็นทางออกของปัญหาการ ใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นของวงการไอซีทีคือการหาแหล่งพลังงานทางเลือกทดแทน ถ่านหินซึ่งยังเป็นแหล่งพลังงานหลักของโลก โดยเชื่อว่าอุตสาหกรรมไอซีทีจะเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้โลกหันมาใช้พลังงาน ทางเลือกที่มีราคาถูกกว่า เสถียรกว่า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าได้ในระยะยาว    
       ได้ยินแบบนี้แล้ว ต่อไปเราชาวสมาร์ทโฟนควรจะคิดถึงปริมาณไฟฟ้าที่ใช้กับอุปกรณ์ไอทีของตัวเอง ให้มากขึ้น เพราะเชื่อว่าไม่เพียงไอโฟน แต่สมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นก็มีโอกาสกินไฟมากกว่าตู้เย็นไม่แพ้กัน
แหล่งที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

10 วิธีใช้ประโยชน์จากหูฟัง iPhone ให้เต็มประสิทธิภาพ

10 วิธีใช้ประโยชน์จากหูฟัง iPhone ให้เต็มประสิทธิภาพ

ผมเองเป็นหนึ่งคนที่ชอบฟังเพลงจาก iPhone เป็นประจำและก็คิดว่าหลายๆ คนก็จะเป็นแบบผมเช่นกัน  เท่าที่ใช้หูฟังของ iPhone มาส่วนใหญ่กดอยู่ไม่กี่แบบ เช่น กดเล่นเพลง หยุดเพลง เปลี่ยนเพลง อะไรทำนองนี้ แต่รู้หรือไม่ว่าเจ้าหูฟัง iPhone ตัวนี้มันทำอะไรได้เยอะกว่าเพิ่มเสียงหรือว่าลดเสียงเท่านั้น  มันมีกว่า 10 เทคนิคที่ซ่อนเอาไว้ในสายขาวเส้นนี้มาดูกัน
เทคนิคการใช้งานหูฟัง iPhone ที่ควรทราบ
1. กดตรงกลาง 1 ครั้ง เพื่อเล่นหรือหยุดเพลง
2. กดตรงกลาง 2 ครั้งโดยครั้งที่ 2 นั้นให้กดค้าง เพื่อเลื่อนเพลงไปข้างหน้าให้เร็วขึ้น (Fast-Forward)
3. กดตรงกลาง 3 ครั้งโดยครั้งที่ 3 ให้กดค้าง เพื่อเล่นเพลงแบบย้อนกลับ (Rewind)
4. กดตรงกลาง 2 ครั้ง เพื่อเล่นเพลงถัดไป
5. กดตรงกลาง 3 ครั้ง เพื่อย้อนกลับไปเล่นเพลงก่อนหน้า
6. หากมีสายเข้า ให้กดตรงกลาง 1 ครั้ง เพื่อรับสาย หลังจากคุยเสร็จแล้วก็กดตรงกลางอีกครั้งเพื่อวางสาย
7. หากมีสายเข้าและอยากตัดสาย ทำได้โดย กดปุ่มกลางค้างเอาไว้จนกว่าจะได้ยินเสียงบีบๆ 2 ครั้ง
8. หากกำลังคุยสายอยู่แล้วมีสายซ้อนเข้ามา กดปุ่มกลาง 1 ครั้งเพื่อรับสายใหม่ หากจะวางสายซ้อนก็ให้กดปุ่มกลางค้างไว้ 2 วินาที
9. สั่งถ่ายรูปง่ายๆ โดยการกดปุ่มเพิ่มเสียง 1 ครั้ง (อย่าลืมเปิดกล้องขึ้นมาก่อน) สำหรับการถ่ายวีดีโอก็เช่นกันและต้องการหยุดการถ่ายวีดีโอก็กดที่ปุ่มเพิ่มเสียงอีกครั้ง
10. iPhone 4S กดตรงกลางค้างเพื่อเรียก Siri, ส่วน iPhone 4 กดตรงกลางครั้งเพื่อเรียก Voice Control ขึ้นมา
นี่เป็นเทคนิคดีๆ ที่นำมาฝากกัน ว่างๆ ก็ลองหยิบสายหูฟังมาลองใช้และลองสั่งการดูนะครับ อย่างน้อยมันก็จะคุ้มค่ากับราคา 1000 กว่าบาทสำหรับค่าตัวของมัน

ขอบคุณ CNET
แหล่งที่มา : http://www.iphonemod.net

สูตรการหาเพลง, tip google แบบต่างๆและการสร้างรายได้จาก google

สูตรการหาเพลง, tip google แบบต่างๆและการสร้างรายได้จาก google

การหาเพลง, tip google แบบต่างๆและการสร้างรายได้จาก google

ไปเจอหลักการค้นหาข้อมูลจาก google ที่เป็น ระบบค้นหาที่คนไทยนิยมใช้กันมากมาย แทบจะทุก คนที่ใช้ internet เลยก็ว่าได้ ( เมืองนอกเขาจะเป็นแบบคนไทยป่าวน้า ) เจอเทคนิคดีๆ ก็เลยจะเอามาฝากกันคับ
สูตรหาเพลงใน Google
+mp3 +"index of" +"last modified"+ชื่อเพลงที่ต้องการหา
เเค่นี้ัตัวเพลงก็จะมาอยู่ในมือเราอย่างง่ายดาย
*หมายเหตุ สูตรนี้ไม่ได้หมายความว่าจะัหาได้ทุกเพลง อันนี้จะหาได้แค่บางเพลงเท่านั้น ถ้าอันไหนที่หาได้็
ก็มักจะมีคำว่า Index/... เป็นต้นไป (รับรองผล 20%)
วิธีที่ 2 รับรอง ผล 50 % คือ ชื่อเพลงที่เราต้องการหา filetype:mp3
วิธีที่ 3 รับรองผล 99 % คือ ชื่อเพลงที่ต้องการค้นหา site:(เว็บไซต์ที่เปิดให้บริการ Upload)เช่น My love site:www.mediafire.com
วิธีที่ 4 รับรองผล 99.95 % คือ ชื่อเพลงที่เราต้องการค้นหา +(ชื่อ Website Upload ต่างๆ)
เช่น Cannon +www.mediafire.com
 การใช้ Google คิดเลข
เพียงแค่เราพิมพ์ไปว่า 2+2 แค่นี้ google ก็จะทำการคำนวนผลออกมาให้เราอย่างง่ายดายว่ามันคือ 4
การบวกใช้เครื่องหมาย +
การลบใช้เครื่องหมาย -
การคูณใช้เครื่องหมาย *
การหารใช้เครื่องหมาย /
การหาเศษใช้เครื่องหมาย %
 การค้นหาหมายเลขโทรศัพท์ของคน
เราสามารถใช้คำสั่ง phonebook: เข้าไปได้เช่น เราต้องการหาหมายเลขโทรศัพท์ของ Sara ในประเทศ
ไทยก็พิมพ์ไปว่า phonebook:Sara,Thai และเราก็จะได้ผลการค้นหามา (หลังจากที่เราค้นหา
ไปแล้วนั้นเราสามารถดูทีอยู่ได้โดยคลิกที่ Yahoo maps หรือ MapQuest)
 การใช้ google ค้นหาความหมายของคำ
สามากทำได้โดยพิมพ์ข้อความลงไปตามปกติและจองดูที่แถบด้านบนตรง แถวๆคำว่า Results จะมีคำว่า
defintion หรือว่าจะใช้คำสั่ง define:ใน การค้นหาก็ย่อมได้
 การจัดลำดับา keyword ที่มีคนค้นหามากที่สุดใน google
สามารถเข้าไปดูที่หน้า http://www.google.com/press/zeitgeist.htmlและสามารถ แยกไปดู
เป็นประเทศได้โดยการคลิกที่ Zeitgeist Around the World
 การหาเงินโดยการใช้ google adsense
การทำ google adsense นั้นคือการที่เราทำการโฆษณาผ่านเว็บโดยนำ code จาก google adsense
มาลงแล้วทาง google adsense จะทำการหาโฆษณาที่เหมาะสมมาลงให้เองโดยที่จะจ่ายให้เมื่อมีคนคลิก
หรือดูเว็บของเรา โดย google adsense นั้นจะสามารถทำรายได้ให้แก่เราตั้งแ่ต่ไม่กี่บาทจนไปถึงกระทั่ง
หลายล้านบาทเลยก็เป็นไปได้ ถ้าสนใจสามารถเข้าไปดูที่ http://www.google.com/adsenseและ ถ้า
เกิดว่าอยากเพิ่มคนเข้าเว็บของเรา google ก็มีคำตอบให้เช่นเดิมโดยเราสามารถจ่ายเงินเพื่อทำการลงโฆษณา
กับ Google ถ้าสนใจสามารถเข้าไปดูที่ http://www.google.com/adword
 การแปลภาษาโดย google
เข้าไปที่หน้า http://translate.google.com แล้วลองไปดูกัน สามารถแปลจากอังกฤษเป็นภาษาฝรั่งเศส
จากฝรั่งเศสเป็นจีน จากจีนเป็นอาหรับ หรือจากอาหรับเป็นดัชก็ได้ ซึ่งตัวนี้มีให้เลือกได้หลากหลายภาษา
เป็นอย่างมากและในปัจจุบันรับรองภาษาไทยแล้ว โปรแกรม translate ของ Google ยังสามารถที่จะแปล
หน้าเว็บได้ด้วยการกรอกชื่อ URL ลงไปแค่นั้น googleก็จะแปลให้อย่างรวดเร็วซึ่งทำให้เราสามารถเข้าเว็บต่างๆ
ได้โดยที่ไม่ต้องสนใจขีดจำกัดทางด้านภาษาอีกต่อไปและยังมี Option คำแนะนำการแปลถ้าเกิดว่าการแปล
นั้นผิดพลาดขึ้นมาเราก็สามารถกรอกข้อความที่ถูกต้องลงไปในข้อความนั้นได้เลย ทำให้ข้อความมีความแม่น
ยำมากขึ้นอีกด้วย
 google กับการถามตอบ(ต้องจ่ายเงินเล็กน้อยและผู้ที่ตอบนั้นจะได้เงินด้วย)
เข้าไปที่หน้า http://answers.google.com แล้ว login เข้าไปสามารถเข้าไปถามในปัญหาต่างๆได้เลย
(สำหรับท่านที่ต้องการได้คำตอบแบบเร่งด่วน เมื่อ search หาข้อมูลก็ไม่มีี)
 คำสั่งการค้นหาอย่างเซียน
allintitle: (ค้นหาทั้งหมดที่มี keyword คำนั้นผสมใน title)
allinurl: (ค้นหาทั้งหมดที่มี keyword คำนั้นผสมใน url)
allintext: (ค้นหาทั้งหมดที่มี keyword คำนั้นผสมในข้อความ)
allinanchor: 
link: (หา backlink ที่ชี้มาหน้านั้นๆ)
index: (หาหน้าเว็บที่ถูกเก็บไปโดย Google ทั้งหมด)
info: (หาข้อมูลของ Website หรือดูว่าเว็บไหนโกง Pagerank ซึ่งถ้ามีการโกงขึ้นมาค่าของ Url ที่เรา
search จะไม่ตรงกับค่าที่ปรากฏออกมาในช่องผลลัพท์)
 การค้นหาแบบเฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น
"" การใช้เครื่องหมาย "" ครอบข้อความที่ต้องการหาเป็นการระบุเฉพาะเจาะจงว่าต้องการค้นหาเรื่องที่มี คำ
นี้อยู่เท่านั้น ตัวอย่างการใช้งานเช่น "Google is good serch engine"
เป็นการสั่งให้ค้นหาคำที่มีเนื้อหานี้ผสม อยู่ด้วย ตัวอย่างการใช้งาน google +adsense
~ เป็นกา่รค้นหาคำที่มีความหมายใกล้เคียงกันด้วย
- สำหรับคำที่ไม่ต้องการให้ปรากฏออกมาด้วย
OR เป็นการสั่งให้ค้นหาคำนี้เข้าไปด้วย เช่น cat is animal OR Dog
filetype: เป็นคำสั่งที่บอกให้ค้นหาเฉพาะใน file ชนิดนั้นๆเช่น google filetype:doc, cannon
filetype:mp3 เป็นต้น
 การใช้ Google แปลงหน่วยต่างๆ
โดยการระบุค่าต่างๆลงไปยกตัวอย่างเช่น 5 kilometer in miles จะเป็นการถามว่า 5 กิโลเมตรเท่ากับกี่ไมล์
และยังสามารถแปลงค่าเงินได้เช่น 1200 Bath in USD เป็นต้น

วิธีใช้ wi-fi สาธารณะอย่างปลอดภัย

วิธีใช้ wi-fi สาธารณะอย่างปลอดภัย

        ผู้ใช้คอมและสมาร์ทโฟน ส่วนใหญ่จะหา wi-fi ฟรีเพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ตในการทำงานต่างๆและติดต่อสื่อสารกับเพื่อน และชมความบันเทิงจากทั่วโลก แต่อย่าลืมว่าการใช้ wi-fi ฟรีสาธารณะนั้น ก็ต้องระวังจากกลุ่ม hacker ที่จ้องจะขโมยข้อมูลส่วนตัวเช่น password และข้อมูล social network และข้อมูลสำคัญอื่นๆเช่น e-banking , email , และเอกสารสำคัญด้วย ดังนั้นเรามาดูกันว่า การใช้ wi-fi สาธารณะอย่างปลอดภัยต้องทำอย่างไรบ้าง ?
- เลือก Hotspot Wi-FI ที่น่าเชื่อถือ ควรสอบถามจากเจ้าของสถานที่ ว่าที่นี่มีรายไหนบ้างที่ให้บริการฟรี ไม่ใช่เจอ hotspot คำว่า wi-fi free ก็ คลิก connect ไปเลย ซึ่งจะเสี่ยงโดนขโมยข้อมูลได้
- หากมีการใส่รหัสผ่านควรตรวจสอบว่าเข้ารหัสแบบ https:// หรือเปล่า.. ถ้าใช่ก็ปลอดภัย
- ใช้งาน wi-fi สาธารณะเสร็จควร logout ออกทุกครั้ง ในกรณีที่ใช้ wi-fi ด้วย username และ password ผ่านทางเว็บไซต์
- ใช้งานผ่าน wifi เสร็จแล้ว คลิกขวา บน hotspot wi-fi แล้วเลือก forgot this network เพื่อออกจากระบบ
- ปิดการแชร์พวกปริ้นเตอร์ และ แชร์ไฟล์บนเครือข่าย Network เพื่อป้องกันคนแฮกระบบเข้าถึงข้อมูลไฟล์ ในกรณีคุณใช้ wi-fi สาธารณะ

เคล็ดลับ 5 ข้อ ช่วยยืดอายุการใช้งานโน๊ตบุ๊ค Windows ในช่วงใช้แบตได้นานขึ้น

เคล็ดลับ 5 ข้อ ช่วยยืดอายุการใช้งานโน๊ตบุ๊ค Windows ในช่วงใช้แบตได้นานขึ้น
         หลายท่านคงมีโน๊ตบุ๊คไว้สำหรับทำงานนอกสถานที่ แต่เชื่อว่ามีหลายท่านไม่น้อยที่ประสบปัญหาแบตหมดไวเหลือเกิน จนเครื่องไฟดับไม่สามารถทำต่อได้ ต้องมาพกที่ชาร์จโน๊ตบุ๊คมาชาร์จไฟ แถมต้องพยายามหาที่เสียบปลั๊กใช้ไฟ จากร้าน หรือจากบ้านเพื่อน เพื่อชาร์จไฟอีก  วันนี้เลยนำเสนอเคล็ดลับ 5 ข้อ ที่ยืดอายุใช้งานโน๊ตบุ๊ค Windows ในช่วงใช้พลังงานแบตได้นานขึ้น
 1. อัพเดตระบบปฏิบัติการให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด  ตอน นี้ล่าสุดอยู่ที่ Windows 8.1 แล้ว ยิ่งอัพเดตเป็นรุ่นใหม่เมื่อไหร่ การบริหารจัดการพลังงานแบตเตอรี่บนระบบปฏิบัติการ Windows จะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยประปรุงจัดการพลังงานให้ใช้พลังงานไฟต่ำ ซึ่งจะช่วยสามารถใช้โน๊ตบุ๊คได้นานขึ้นได้  ทั้งนี้ สำหรับผู้ใช้ Windows 8.1 ให้ไปเรียก charmbar แถบเมนูสีดำด้านขวา เลือก setting  >> แล้วคลิกที่ Change PC settings” >> แล้วคลิก Updates and Recovery และคลิกที่ “Check for updates” เพื่อทำการตรวจสอบการอัพเดต  หากมีอัพเดตใหม่ ควรอัพเดตทันที
  2. จัดการด้านพลังงานบนโน๊ตบุ๊ค  คุณ สามารถปรับแสงสว่าง หรือตั้งให้ว่า …  เมื่อโน๊ตบุ๊คไม่ได้ใช้งานนานกี่นาที ให้เครื่องทำการดับจอภาพก่อน หรืออยู่สถานะ sleep  และตั้งปิดคอมอัตโนมัติ   โดยสามารถเข้าถึงการตั้งค่านี้โดยไปเรียก Search   (กดปุ่ม Windows +  Q ) พิมพ์ Power options แล้ว คลิก Power options จากนั้นเลือกที่ change plan settings  แล้วทำการตั้งค่าเน้น ปรับความสว่างลดลง ตั้งให้ดับจอในกรณีที่ไม่ทำงาน ให้เลื่อนเวลาดับจอเร็วขึ้น
 3. ลดความสว่างหน้าจอคอม  โดยปรับ Brightness ให้ลดลง ซึ่งสามารถปรับได้โดยเข้าไปเรียกเมนู Charm bar แล้วเลือกที่ settings จากนั้นเลือก brightness ให้ลดค่าลง เพื่อลดการใช้พลังงานจากแบต
 4. ปิด Bluetooth , ปิด wifi  ซึ่งไม่ต่างจากวิธีประ หยัดแบตของสมาร์ทโฟนเลย ทั้งนี้คุณสามารถเปิดโหมดเครื่องบิน Flight Mode เพื่อตัดการเชื่อมต่อ ทั้งเน็ต wifi และ Bluetooth ได้
 5. ถอด หรือหยุดเชื่อมต่อ  Aircard  , External  Harddisk , Flashdrive  ก็ช่วยให้ใช้ไฟน้อยลง เพราะการเชื่อมต่อผ่านพอร์ต ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าด้วยเช่นกัน
นี่คือ 5 เคล็ดลับแบบง่ายๆสำหรับผู้ใช้คอม ระบบปฏิบัติการ  Windows ที่จะสามารถใช้โน๊ตบุ๊คในช่วงใช้พลังงานแบตได้นานขึ้น  

10 ขั้นตอนในการใช้คอมพิวเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพ

10 ขั้นตอนในการใช้คอมพิวเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพ
 ปัญหาที่เกิดขี้นกับเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นจะมีตั้งแต่เล็กๆน้อยๆ ไปจนถึงความบกพร่องอย่างร้ายแรงที่จะทำให้งานของเราที่อุตส่าห์ทำเป็นเดือนๆ หายไปได้ในพริบตา หรือไม่สามารถใช้งานคอมพิวเตอร์นั้นได้อีกเลย วิธีการที่ดีที่สุดในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นกับคอมพิวเตอร์นั้นก็คือ ป้องกันก่อนที่มันจะเกิดขึ้น
ขั้นตอนใน การป้องกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับฮาร์ดดิสก์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ในการเก็บข้อมูลความสำคัญมากๆ ในเรื่องของการเก็บข้อมูล คือ ไม่ให้มีอุบัติเหตุซึ่งจะทำให้มันมีค่าที่สุด ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่เป็นอุปกรณ์ที่แพงที่สุดในเครื่องของเราก็ตามเป้า หมายของการป้องกันคือ เก็บข้อมูลของเราให้ปลอดภัย มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

  • รู้จักเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง
  • สร้างแผ่นบู๊ตฉุกเฉินขึ้นมา
  • ปรับแต่งฮาร์ดดิสก์อย่างสม่ำเสมอ
  • วางแผนในการเก็บรักษา
  • สำรองข้อมูลที่มีค่าเอาไว้
  • ป้องกันไวรัส
  • ติดตั้งโปรแกรมไว้ที่เดิม
  • ใช้แต่ของใหม่เสมอ
  • รักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้สะอาดอยู่เสมอ
  • ปิดเครื่องด้วยวิธีการที่ถูกวิธี
1.รู้จักเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง 
เรา สามารถดูรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องของเราว่าอุปกรณ์อะไร รายละเอียดเป็นอย่างไร ได้ โดยดูที่ System Properties โดยคลิ๊กเม้าปุ่มขวาที่ My computer เลือก 1. Properties จะปรากฏ System Propeties ขึ้นมา ให้เราคลิ๊กที่ Tab Device Manager เราสามารถดูรายละเอียดเกี่ยวกับอุปกรณ์ภายในเครื่องของเราได้ ถ้าเรามีเครื่องพิมพ์ ก็สั่งพิมพ์มาเก็บไว้เลยจะเป็นการดีที่สุดป้องกันการลืม

2.สร้างแผ่นบู๊ตฉุกเฉินขึ้นมา
           เมื่อเราเครื่องของเรามีปัญหาไม่สามารถบู๊ตเครื่องจากฮาร์ดดิสก์ได้ เราก็ยังจะสามารถบู๊ตจากแผ่นบู๊ตฉุกเฉินที่เราสร้างขึ้นเอาไว้ได้ โดยไปที่
1. เลือกเมนู Start
2. เลือก Setting
3. เลือก Control Panel
4. กดดับเบิ้ลคลิ๊กไอคอน Add remove programs
5. ให้เลือกคลิ๊กที่ Tab Startup Disk แล้วใส่ แผ่น floppy disk ที่ทำการ format แล้วใน dirve a:
6. แล้วคลิ๊กที่ปุ่ม Create Disk หลังจากเครื่องทำการสร้างแผ่นบูตเสร็จเรียบร้อย เราก็จะได้แผ่นบู๊ตฉุกเฉินขึ้นมาแล้ว
3. ปรับแต่งฮาร์ดดิสก์อย่างสม่ำเสมอ
           เพราะฮาร์ดดิสก์เป็นที่ที่เก็บแอปพิลเคชั่นไว้อย่างถาวร และที่สำคัญมากคือไฟล์ข้อมูลที่สร้างด้วยแอพพลิเคชั่นเหล่านั้น
ดัง นั้นฮาร์ดดิสก์จึงจำเป็นต้องระมัดระวังอย่างพิเศษเพื่อรักษามันให้ปฏิบัตการ ได้ที่ประสิทธิภาพสูงสุด การสแกนดิสก์ เพื่อหาไฟล์ที่สูญหาย (Lost) และเซ็กเตอร์ที่เสียหาย (bad sector) จะช่วยป้องกันปัญหาของดิสก์ทั้งหมดก่อน ที่จะเกิดขึ้น ในขณะที่การ Defragment จะช่วยจัดเรียงไฟล์ที่แตกกระจัดกระจาย ให้เป็นระเบียบขึ้น
วิธีการสแกนดิสก์ทำได้ดังนี้
1. เลือกเมนู Start
2. เลือก Program
3. เลือก Accesorry
4. เลือก System Tools
5. เลือก Scan Disk
4. วางแผนในการเก็บรักษา
           การเก็บรักษาไฟล์ข้อมูลในโฟล์เดอร์เราจะต้องเก็บรักษาให้อยู่ในส่วนที่ค้นหา ง่ายและมีชื่อที่สามารถจดจำได้ง่าย จะช่วยลดความเสี่ยงที่เราจะลบโปรแกรมหรือข้อมูลเหล่านั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ อีกทั้งฮาร์ดดิสก์ที่มีการบริหารรวบรวมที่ดีจะสามารถทำ การแบ๊กอัปสำรองข้อมูลได้ง่ายกว่าและเร็วกว่า และไฟล์ไหนที่เราไม่ได้ใช้เป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือน ควรจะลบไฟล์นั้นออกไป เพราะ ดิสก์ที่ใส่ข้อมูลมากๆ จนเกือบเต็มความจุของมันมักมีแนวโน้มที่จะเกิดความผิดพลาดได้มากกว่า และช้ากว่าฮาร์ดดิสก์ที่ไม่ได้ใส่ข้อมูลจนแน่น
5. สำรองข้อมูลที่มีค่าเอาไว้
           การแบ็กอัปไฟล์ของเรามีความหมายง่ายๆ ก็คือเป็นการทำสำเนาเผื่อเอาไว้ ถ้าต้นฉบับถูกทำให้สูญหายหรือเสียหายไป เราก็ยังสามารถนำเอาสำเนามาใช้ได้ เราสามารถแบ็กอัปฮาร์ดดิสก์ไปยัง Floppy disk หรือ Zip disk ได้ ถ้าเราทำธุรกิจมีข้อมูลที่สำคัญมากๆ เช่น ข้อมูลของสินค้า ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลด้านบัญชี
มูล บุคคล เราควรจะแบ๊กอัปมันทุกๆวันเป็นมาตรฐานเอาไว้ แต่ถ้าเราเป้นผู้ใช้ตามบ้าน ก็ควรจะการแบ็กอัปไฟล์หนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ และทำการแบ๊กอัป ทั้งระบบอย่างสมบูรณ์ทุกๆ 6 เดือน โดยเราสามารถใช้โปรแกรม Backup ดังนี้
1. เลือกเมนู Start
2. เลือก Program
3. เลือก Accesorry
4. เลือก System Tools
5. เลือก Backup
โปรแกรมนี้จะอนุญาติให้เราตรวจเลือกโฟลเดอร์ที่ต้องการจะแบ๊กอัป
6. ป้องกันไวรัส
           แม้ว่าไวรัสคอมพิวเตอร์ที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับเครื่องและข้อมูลของ เรา ได้ ซึ่งในบางครั้งก็ดูออกจะเป็นเรื่องตื่นตระหนกจนเกินเหตุ แต่ความเป็นจริงแล้วไวรัสไม่สามารถที่จะทำอันตรายให้กับเครื่องและข้อมูลของ เราได้ ถ้าหากเราไม่ได้สั่งให้มันทำงาน (execute) ไวรัสนั้นติดมาได้ 2 ทาง คือ
1. จากแผ่นดิสก์อื่นที่เรานำมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นที่เรายืมหรือก๊อปปี้ของเพื่อนมา หรือ แผ่นcd เถื่อนที่เราซื้อมาจากพันธุ์ทิพย์
2. จากอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมที่เราดาว์นโหลดมา หรือ ไวรัสที่ส่งมากับอีเมล์ วิธีป้องกันที่ดีที่สุด คือเราต้องไม่นำมาใช้ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ให้เราหาโปรแกรมสำหรับสแกนไวรัสมาสแกนไวรัสก่อนที่จะนำมาใช้ ยกตัวอย่างเช่น McAfee”s VirusScan Norton AntinVirus หรือ Pc-cillin
แต่ ในบางครั้งไวรัสตัวนั้นอาจเป็นไวรัสชนิดใหม่ที่โปรแกรมเหล่านั้นยังไม่ สามารถตรวจสอบได้ เราก็จำเป็นต้องไปดาวน์โหลดโปรแกรมสแกนไวรัสเวอร์ชั่นใหม่ ๆ มาใช้งานจากเวบไซด์เหล่านั้น
7. ติดตั้งโปรแกรมไว้ที่เดิม
           เมื่อเราได้ติดตั้งโปรแกรมลงบนระบบของ window95 แล้วอย่าได้เปลี่ยนชื่อไดเร็กทอรี่ของโปรแกรมหรืออย่าได้ย้ายไฟล์ของมันจาก ที่ที่มันอยู่ไปไว้ที่อื่นๆ บนฮาร์ดดิสก์ของเรา มิฉะนั้นคอมพิวเตอร์จะหาแทร็กของคีย์ไฟล์ไม่เจอ ถ้าเราจะทำการลบ (delete) หรือยกเลิกการติดตั้ง (uninstall)
วิธีการลบ (delete) หรือยกเลิกการติดตั้งที่ถูกวิธีทำได้ดังนี้
1. เลือกเมนู Start
2. เลือก Control Panel
3. กดดับเบิ้ลคลิ๊กที่ Add/Remove Programs
4. เลือกโปรแกรมที่เราต้องการจะลบ หรือ ยกเลิกการติดตั้ง
5. กดปุ่ม Add/Remove
           หลัง จากกดปุ่ม Add/Remove แล้วจะปรากฏหน้าต่างการยกเลิกการติดตั้งให้ แต่มีบางไฟล์หรือบางกรณีที่จะต้อง ใช้คำสั่งลบออกได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องผ่านการลบด้วยกรรมวิธีขั้นต้น สามารถเข้าไปลบไฟล์เหล่านั้นได้เลย
8. ใช้แต่ของใหม่เสมอ
           อุปกรณ์ ต่างๆ ที่เป็นส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์จะมีโปรแกรมไดว์เวอร์ (driver) เพื่อพูดคุยติดต่อระหว่าง window95 กับ ฮาร์ดแวร์ของเรา จะเป็นการดีถ้าเราสามารถอัปเดตโปรแกรมไดว์เวอร์เหล่านั้นให้ทันสมัยอยู่ตลอด เวลา เพื่อให้คอมพิวเตอร์ของเราทำงานได้เต็มประสิทธิภาพคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป
9. รักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้สะอาดอยู่เสมอ
           ฝุ่นสามารถทำให้ชิปภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราร้อนขึ้นมามากกว่าธรรมดา และยัง เป็นตัวขัดขวางการไหลเวียนระบายความร้อนของอากาศอีกด้วย อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้งให้เราถอดปลั๊กต่างๆ และเปิดฝาเครื่องขึ้นมา และเป่าฝุ่นออก อย่าเช็ดด้วยเศษผ้า ให้ใช้ปากเป่าหรือกระป๋องอัดลมสำหรับฉีดลมอย่างใดอย่างหนึ่งในการเป่าฝุ่น
10. ปิดเครื่องด้วยวิธีการที่ถูกต้อง
           เมื่อใดก็ตามที่เสร็จการทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วจะเลิกการใช้งาน เครื่อง คอมพิวเตอร์ อย่าได้ปิดเครื่องเลยทันที เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์มีการเก็บหน่วนความจำแคช ปิดไฟล์ และ เซฟข้อมูลคอนฟิกคูเรชั่นต่างๆ ก่อนที่เราจะปิดเครื่อง
เรา จำเป็นต้องต้องสั่งให้คอมพิวเตอร์ของเราชัตดาวน์ (shutdown) ก่อนเสมอ โดยไปที่ Start –> Shutdown แล้วกด OK เท่านี้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราก็จะจบการทำงานได้อย่างสวยงาม

F1 ถึง F12 รู้ไหมว่ามันทำอะไรได้บ้าง

F1 ถึง F12 รู้ไหมว่ามันทำอะไรได้บ้าง
คีย์ที่กล่าวมาส่วนมากเราจะเรียนกมันว่า "ฟังก์ชันคีย์"  F1 ถึง F12 อาจมีความหลากหลายของการใช้งานที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งและโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่เปิดอยู่ซึ่งจะ เปลี่ยนวิธีการของแต่ละคีย์เหล่านี้
ยังรวมถึงการใช้งานฟังก์ชันคีย์รวมดับคีย์ ALT หรือ CTRL เช่นผู้ใช้ Microsoft Windows สามารถกด ALT + F4 เพื่อปิดโปรแกรมที่ใช้งานอยู่ด้านล่างเป็นรายการบางส่วนของการทำงานของคีย์ ฟังก์ชั่นในคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Microsoft Windows แต่จะไม่ใช่ทุกโปรแกรมที่สนับสนุนฟังก์ชันคีย์
F1
มักจะใช้เป็นคีย์ช่วยเกือบทุกโปรแกรมจะเปิดหน้าจอ
ป้อนการตั้งค่า CMOS
Windows Key + F1 จะเปิดตัวช่วยของ Microsoft Windows
เปิดบานหน้าต่างงาน
F2
ใน Windows จะใช้ในการเปลี่ยนชื่อไอคอนหรือไฟล์
Alt + Ctrl + F2 เปิดเอกสารใหม่ในโปรแกรม Microsoft Word .
Ctrl + F2 จะแสดงหน้าต่างตัวอย่างก่อนพิมพ์ใน Microsoft Word
เข้าสู่การป้อนการตั้งค่า CMOS หรือ Bios
F3
เปิดคุณลักษณะการค้นหาในหลายๆโปรแกรมรวมถึง Microsoft Windows
ใน MS - DOS หรือ Windows ของบรรทัดคำสั่ง F3 จะทำซ้ำคำสั่งสุดท้าย
Shift + F3 จะมีการเปลี่ยนแปลงข้อความใน Microsoft Word
F4
เปิดพบหน้าต่าง
ทำซ้ำการกระทำล่าสุด ( Word 2000 ขึ้นไป )
Alt + F4 จะปิดโปรแกรมที่ใช้งานอยู่ใน Microsoft Windows
Ctrl + F4 จะปิดหน้าต่างที่เปิดอยู่ในหน้าต่างที่ใช้งานในปัจจุบันใน Microsoft Windows
F5
ในทุกเบราว์เซอร์อินเทอร์เน็ต F5 จะรีเฟรชหรือโหลดหน้าเว็บหรือหน้าต่างเอกสาร
เปิดหน้าค้นหา แทนที่ และไปที่หน้าต่างใน Microsoft Word
เริ่มสไลด์โชว์ใน PowerPoint
F6
ย้ายเคอร์เซอร์ไปที่ Address bar ใน Internet Explorerและ Mozilla Firefox .
Ctrl + Shift + F6 เปิดไปยังเอกสารอื่น ๆ ใน Microsoft Word
F7
ปกติจะใช้เพื่อตรวจสอบการสะกดและไวยากรณ์ตรวจสอบเอกสารในโปรแกรม Microsoft เช่น Microsoft Word, Outlook, ฯลฯ
Shift + F7 ทำงานตรวจสอบบนคำที่ไฮไลต์
เปิดการใช้งานเลือนหน้าต่างด้วยปุ่มลูกศรบนคีย์บอร์ดใน Mozilla Firefox
F8
แป้นฟังก์ชันที่ใช้ในการเข้าสู่เมนูเริ่มต้น Windows, นิยมใช้ในการเข้าถึง Windows แบบ Safe Mode .
F9
เปิดแถบเครื่องมือวัดใน Quark 5.0
F10
ใน Microsoft Windows เปิดใช้งานแถบเมนูของโปรแกรมที่เปิดอยู่
Shift + F10 เป็นเช่นเดียวกับการคลิกขวาบนไอคอนที่ไฮไลต์ไฟล์หรือการเชื่อมโยงอินเทอร์เน็ต
การเข้าถึงการกู้คืนพาร์ทิชันที่ซ่อนอยู่ ของ HP และ Sony คอมพิวเตอร์
ป้อนการตั้งค่า CMOS .
F11
โหมดเต็มหน้าจอในเบราว์เซอร์อินเทอร์เน็ต
CTRL + F11 การเข้าถึง การกู้คืนพาร์ทิชันที่ซ่อนอยู่ในคอมพิวเตอร์ของ Dell
การเข้าถึงการกู้คืนพาร์ทิชันที่ซ่อนอยู่บน eMachines, Gateway, และคอมพิวเตอร์ Lenovo
F12
เปิดหน้าที่ทำการบันทึกใน Microsoft Word
SHIFT + F12 บันทึกเอกสาร Microsoft Word
Ctrl + Shift + F12 พิมพ์เอกสารใน Microsoft Word
เกร็ดเล็กๆครับเครื่องคอมพิวเตอร์ไอบีเอ็มก่อนหน้านี้ยังมี F13 -- F24 บนแป้นพิมพ์ แต่เนื่องจากแป้นพิมพ์เหล่านี้ไม่มีการใช้งานจึงได้ถูกนำออกไป เอาไปประดับความรู้กันจะได้รู้ว่า ไอ้ปุ่มพวกนี้ที่เราไม่เคยใช้งานความจริงมันใช้ได้ดีเสียด้วย นี่แค่บางส่วนถ้า ว่าง จะหาแบบเต็ม ๆ มาให้ครับ